tag:blogger.com,1999:blog-49211020651547668612024-03-05T09:08:05.980-08:00บทความเกี่ยวกับการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาเชิงประจักษ์Unknownnoreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-4921102065154766861.post-66146452252402227982013-02-06T23:50:00.000-08:002013-02-07T00:01:43.271-08:00เด็กเรียนดี.....ที่ตายไป<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIjwU0nqFulWP-i8an93cMnFIzMFmaFiJ9gNbcomSgu_ZbPdZw4vIAaMeo61WygsqmL3DkK5cMqrWxCu4VbUhBUHyjl6ort1l5KtUpKBORySSvyEoJ8BSD-4ucyUo9MSQfobsrky2q5ps/s1600/540541_313348752073438_195060967235551_693970_1130893725_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="302" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIjwU0nqFulWP-i8an93cMnFIzMFmaFiJ9gNbcomSgu_ZbPdZw4vIAaMeo61WygsqmL3DkK5cMqrWxCu4VbUhBUHyjl6ort1l5KtUpKBORySSvyEoJ8BSD-4ucyUo9MSQfobsrky2q5ps/s320/540541_313348752073438_195060967235551_693970_1130893725_n.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
เป็นเรื่องหน้าเศร้าที่ปัจจุบันนี้เรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับ "เด็กนักเรียนฆ่าตัวตาย หรือโดนทำร้ายร่างกายต่างๆ นานา โดยเฉพาะ "เด็กที่เรียนดี"</div>
<div style="text-align: justify;">
เมื่อเร็วๆ นี้ครูได้ฟังข่าวจากทีวีและหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ "เด็กนักเรียนติดเกม และเคยเป็นเด็กเรียนดีมาก่อน เมื่อผลการเรียนตกต่ำ เกิดภาวะเครียดและลงท้ายด้วยการผูกคอตาย หรือแม้กระทั้งภาพข่าวที่ครูได้นำมาเป็นภาพประจำบทความนี้ที่ว่า "ไม่มีค่าเทอม 2 พัน ดญ.ม.3 จนห้อยคอตายสลด@.....หรือถ้าหากจะไล่เหตุการณ์ที่เด็กๆ เหล่านี้ต้องเสียชีวิตก็มาจากหลายสาเหตุเช่น ผลการเรียนตกต่ำ สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ที่คาดหวังไม่ได้ ติดเกม โดนพ่อแม่บังคับ โดนเพื่อนๆ ล้อเลียน เป็นต้น แต่ที่น่าเสียดายคือ เป็นเด็กตั้งใจเรียน...เมื่อเกิดความผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจก็ลงท้ายด้วยการ "ตาย" หรือแม้กระทั้งนิสิตมหาวิทยาลัยดังต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตา ความรัก การเรียน...หลายคนเลือกที่จะใช้ความ "ตาย" แก้ปัญหา</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: red;"> ปัญหาเหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นว่า "การเลี้่ยงดูของพ่อแม่หรือระบบการศึกษาไม่ดีหรือไม่" จึงเกิดเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเกิดจากเหตุปัจจัยอะไรอื่้นอีกหรือเปล่า ซึ่งก็น่าจะเป็นสังคม บริบท สิ่งแวดล้อมต่างๆ ประสมปนเปกันไปหมด แต่ระบบที่ควรจะเข้มแข็งและเป็นสถานที่ที่ให้คำปรึกษา แนะนำ และชี้แนวทางที่ถูกต้องแก่เด็ก ก็ควรจะเป็น "ระบบการศึกษา" โดยเฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ให้เด็ก รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านี้จะตามมา...สร้างความเจ็บปวดให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #274e13;"> ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับ "เด็กที่มีภาวะไม่ปกติเช่นนี้ เด็กเหล่านี้มักแยกตัวโดดเดี่ยว เศร้าและเหงาได้ง่าย ปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน สังคม หรือแม้กระทั้งครอบครัว ไม่เชื่อใจและไว้ใจใครง่ายๆ เมื่อพบเจอปัญหาจะเก็บงำความทุกข์เอาไว้ แต่ส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนเจอคือ "เด็กเหล่านี้บางคนเรียนเก่งมาก" และวิธีการแก้ปัญหาเพื่อเรียกร้องความสนใจคือ "การทำร้ายตัวเองหรือแม้กระทั้งการฆ่าตัวตายก็มี สาเหตุเหล่านี้เกิดจากอะไรบ้าง (เฉพาะประสบการณ์ของผู้เขียนนะครับ)</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: blue;"> 1. ความคาดหวังของพ่อแม่ ความคาดหวังของครอบครัวหรือคนใกล้ชิด เด็กบางคนมักจะถูกพ่อแม่เปรียบเทียบผลการเรียนระหว่างพี่น้องในบ้าน หรือคนข้างบ้าน มีเด็กบางคนมาร้องไห้กับผู้เขียนว่า พ่อแม่ชอบเอาพี่สาวซึ่้งเรียนโรงเรียนดังและได้ผลการเรียนดีเยี่ยมมาเปรียบเทียบกับตน ส่วนตนไม่ใช่ลูกรัก เลยแสดงพฤติกรรมด้านดีต่อหน้าพ่อแม่ แต่แสดงพฤติกรรมด้านลบในที่อื่นๆ ก็มี เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นแทนพ่อแม่หรือคนในครอบครัว หรือจากเเฟน เด็กมีภาวะเศร้าและไม่มีความสุขเมื่อพูดคุยเรื่องผลการเรียน พฤติกรรมหรือการเปรียบเทียบ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #351c75;">2. การเอาใจใส่ลูกมากเกินไป หรือให้ความรักทะนุทะนอมเกินเหตุ ไม่ชี้แนวทางที่ถูกที่ควร เรียกง่ายๆ คือการตามใจลูกจนเสียคน อันนี้จะสร้างนิสัยให้เด็กไม่ยอมรับความจริง แข่งขันและต้องการชนะอย่างเดียว เอาแต่ใจและมีอารมณ์รุนแรงเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กบางคนเป็นเด็กมีปัญหา โดยเฉพาะเด็กเล็กที่พ่อแม่มีบุตรคนสุดท้อง เด็กโตบางคนอิจฉาน้อง เพราะแม่ตามใจน้อง ดุด่าพี่ โดยไม่อธิบายเหตุผล เกิดเป็นความเกลียจชังและไม่ชอบก็มี </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #741b47;"> 3. พ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูก ปล่อยให้ลูกพบเจอปัญหาแต่เพียงลำพัง</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #bf9000;">4. โรงเรียนขาดการชี้นำและแนะแนวทางที่ต้องถูกต้องต่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคม การเผชิญหน้ากับปัญหา การเป็นที่ปรึกษาที่ดีของครูอาจารย์ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเมื่อเด็กอยู่ในสภาวะทุกข์ใจหรือไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเด็กบางคนเมื่อมีปัญหาที่บ้าน ก็จะหวังพึ่งพาครูประจำชั้น หรือครูแนะแนว ครูที่ไว้ใจ หากครูไม่ได้ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งพา ส่วนใหญ่จะขอคำแนะนำจากเพื่อน ซึ่งวุฒิภาวะของวัยเด็กยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้อย่างรอบคอบและมีเหตุผลเพียงพอ </span><br />
<span style="color: #bf9000;"> </span><span style="color: magenta;"> 5. เด็กบางคนมีปัญหาความคิดในด้านลบเสมอ เช่น ความอิจฉา ริษยา หรือกลัวคนอื่นได้ดี เพราะอาจเกิดจากปมในอดีตเช่น การไม่ได้รับความรัก การไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ความน้อยใจ การนำตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น ส่วนใหญ่เป็นเด็กยากจนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้มาก่อน และเกิดความทะเยอทะยานอยากเอาชนะก็เป็นไปได้ มีนิสัียเห็นแก่ตัวหรือไม่มีความจริงใจต่อใคร หวาดระแวงคิดเล็กคิดน้อย โดยตัวเด็กและพ่อแม่อาจจะไม่รู้ว่า ลูกมีลักษณะนิสัยอย่างนั้น </span><span style="color: magenta;">(สิ่งที่ผมยกตัวอย่างมาเป็นเพียงกรณีศึกษาเฉพาะรายเท่านั้น)</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เราควรปลูกฝังอะไรไว้ในสมองของเด็กปัจจุบันนี้บ้าง</div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #cc0000;"> 1. การแข่งขันกันเรียนหนังสือ เด็กบางคนทำเพื่อให้ได้คะแนนดีๆ ก็จะยอมทุจริต อับอายที่สอบตก เกิดภาวะเครียดสูงกับเด็กกลุ่มเก่ง ซึ่งแทนที่จะเป็นการเรียนเพื่อประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง การรู้จักแพ้ชนะ เพราะอนาคตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการศึกษาเล่าเรียนในระบบอย่างเดียว แต่หากขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนเช่น อุปนิสัย ทัศนคติ ความสามารถพิเศษ ความอดทน ความขยันและอื่นๆด้วย ครูต้องปลูกฝังว่า "เรียนเพื่อนำความรู้นั้นไปต่อยอดอะไร การเรียนเป็นการแข่งขันกับตัวเอง เพราะส่วนใหญ่ใช้ระบบตัดเกรดอิงเกณฑ์มาตรฐาน การเรียนเป็นการเรียนเพื่อการแบ่งบันและค้นหาสาระความจริง การเรียนไม่มีเเพ้ชนะ มีแต่คำว่า "รู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ" ดังนั้น การเรียนที่ดีควรจะช่วยเหลือกันในห้องเรียน การเเลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งการเเลกเปลี่ยนสิ่งที่เด็กได้เรียนรู้มาถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ควรพูดถึงระบบการตัดเกรดที่เข้มงวดเกินไป ทำให้เด็กแย่งชิงเกรด แต่ควรเน้นปฏิสัมพันธ์กัน การอภิปรายแลกเปลี่ยน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #0b5394;"> 2.การศึกษาไม่มีวันจบสิ้น ควรปลูกฝังผู้เรียนว่า เมื่อเรียนจบ ตนจะต้องใช้ความรู้ที่มีต่อยอดจากของเดิม ไปจนถึงระดับการศึกษาที่สูงต่อไป....เกรดไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว แต่ความรู้ความสามารถที่แท้จริง ประสบการณ์ ความอดทน ทัศนคติ ความขยันและอื่นๆ ก็มีผลต่องานต่ออาชีพต่ออนาคต อาจจะยกตัวอย่างเช่น การลอกข้อสอบจนได้เกรด 4 เมื่อไปสอบเข้าเรียนต่อหรือไปทำงานจริง ก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะเราไม่มีความรู้ที่แท้จริง เป็นต้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #38761d;"> 3.สถาบันการศึกษา เด็กหลายคนเครียดมากเพราะยึดติดที่ตัวสถาบัน ครูหรือพ่อแม่ต้องลดแรงกดดันจากผลของความคาดหวังไว้บ้าง ในกรณีที่พ่อแม่อยากให้ลูกเข้าสถาบันดีดี เพราะคำพูดบางคำอาจจะทำให้เด็กรู้สึกกดดัน เช่น พ่อแม่เคยเรียนสถาบันดังๆ ก็อยากให้ลูกสู้และพยายามเข้าสถาบันเก่าให้ได้ แต่เลือกใช้คำที่ไม่ถูกไม่ควร ก็จะสร้างความหนักใจ จริงๆ ควรจะเน้นว่า ลูกชอบอะไร ลูกศิษย์ต้องการเรียนด้านไหนหรือมีความถนัดอะไร ให้เข้าได้แสดงศักยภาพด้านนั้นๆ จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเราจะเห็นพ่อแม่บางคนชอบเปรียบเปรยว่า "เรียนแบบนี้จะออกมาทำงานอะไรกิน" และบางคนกำหนดเส้นทางเดินให้ลูกไว้เรียนร้อยแม้กระทั้งการเรียน การศึกษาต่อ จนลูกรู้สึกหนักใจ </span><br />
<span style="color: #38761d;"> </span><span style="color: magenta;">4.การสร้างความเชื่อมั่นในตนให้แก่เด็ก ลดความเลื่อมล้ำในใจและลดปมด้อยในเด็ก ไม่ว่าจะลูกคนรวย คนจน หน้าตาอย่างไร ก็เป็นลูกศิษย์ไม่รักศิษย์หรือแสดงให้เห็นว่า ครูมีความลำเอียงเลือกที่รัก มักที่ชัง เน้นสร้างแรงจูงใจ ให้ประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ไม่ควรนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร สร้างกำลังใจแก่เด็ก และเด็กแต่ละคนเก่งและดีไม่เหมือนกัน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: red;">มีนายเเพทย์ท่่านหนึ่งกล่าวว่า การเลี้ยงลูกจะต้องเลี้ยงแบบ 100: 70 : 50 : 20 หรือ (0) หมายถึง 1) ตอนเรียนอนุบาลประถม พ่อแม่ต้องชี้แนะและช่วยเหลือตัดสินใจต่อการเรียนของลูก 100% 2) 70 หมายถึง ตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น พ่อแม่ควรช่วยเหลือลูก ดูแลใส่ใจแค่ 70%-50% ก็พอ 3) 50 หมายถึงมัธยมศึกษาตอนปลายพ่อแม่ควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแค่เพียง 50% -20% ก็พอ หรือให้ลูกได้เรียนรู้และตัดสินใจเอง ให้เขาได้ช่วยเหลือตัวเองให้มาก โดยพ่อแม่หรือครูควรเป็นผู้ชี้แนะและให้คำปรึกษาที่ดี ส่วนอันสุดท้ายคือ 20 หรือ 0 หมายถึง พ่อแม่ควรให้ลูกได้ตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิต การเรียนแค่ไม่เกิน 20% ในระดับปริญญา ซึ่งนักศึกษาบางรายยังต้องการคำปรึกษา การช่วยตัดสินใจอยู่ ดังนั้น เมื่อเด็กเริ่มโต หน้าที่ของพ่อแม่ควรเป็นผู้ให้คำแนะนำ แบ่งเบาความทุกข์ หัดสังกตุและเข้าใจสิ่งที่ลูกสื่อสารออกมา ให้เขาได้ตัดสินใจ ให้เขาได้หัดพบเจอความผิดพลาด และให้นำสิ่งที่ผิดพลาดไปแก้ไขปรับปรุงชีวิตให้ดี ไม่ใช่จมปรักอยู่กับความทุกข์นั้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #38761d;"> ผมมักจะบอกเด็กๆ เสมอว่า พ่อแม่บางคนก็เป็นพ่อแม่ฝึกหัดตลอดเวลา เพราะในชั่วระยะชีวิตของคู่ชีวิตหนึ่งๆ มีลูกได้ไม่กี่คน ถ้าหากเลี้ยงลูกผิดพลาด ก็จะทุกข์ใจไปจนตาย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่สนใจรายได้ หาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมาจนเกินไป เพียงแค่เหตุผลและการอธิบาย การพูดคุยสร้างความเข้าใจว่า พ่อแม่ต้องทำงานลำบาก อยากให้ลูกตั้งใจเรียน เห็นใจพ่อแม่ ให้ความรักความห่วงใย โดยเฉพาะการกอด การสร้างร้อยยิ้ม รู้จักแยกเรื่องงาน การเลี้ยงลูก ครอบครัวออกจากกัน และที่สำคัญประการหนึ่งคือ ปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจากหลายกรณีที่ทำให้ลูกมีปัญหาครอบครัว คือ พ่อแม่ทะเลาะกัน หรือเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่ลูก </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #bf9000;"> แน่นอนเราไม่ไม่ค่อยได้ยินข่าวว่า เด็กผลการเรียนต่ำฆ่าตัวตายเพราะเกรดตก หรือไม่ได้เรียนต่อ แต่ปัญญาที่เราควรสนใจในเด็กกลุ่มนี้คือ ปัญหาการเรียนแบบจากเกม หรือการติดเกม ปัญหายาเสพติด ปัญหาชู้สาว หากพ่อแม่และครูสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่วัยเยาว์แก่เด็กเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ได้ก็จะดี....................</span></div>
<br />
<span style="text-align: justify;"> <span style="color: #4c1130;"> ผมก็หวังว่า ผมไม่อยากเห็นเด็กไทย ต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินเีรียน เด็กเกิดความเครียด อับอายที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เกิดความท้อใจและน้อยใจในวาสนาของชีวิต คนลำบากหาเช้ากินค่ำไม่ได้ ร่ำเรียนก็มีมาก ขอทานก็เยอะ คนสู้ชีวิตก็เยอะ เด็กควรได้แบบอย่างเช่นนั้นว่า "ชีวิตยังไม่โอกาสเสมอ แต่ถ้าเขาไม่มีโอกาสได้พูด ได้คิดหรือได้แสดงออก ได้รับไอ่อุ่น ได้รับคำปรึกษา หรือการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ เขาจะต้องจบชีวิตด้วยการ "ตาย" เป็นรายต่อไปเรื่อยๆ อย่างแน่นอน</span></span><br />
<span style="text-align: justify;"><span style="color: #4c1130;"><br /></span></span>
<span style="text-align: justify;"><span style="color: #4c1130;"><br /></span></span>
<span style="text-align: justify;"><span style="color: #4c1130;">วชิ................</span></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4921102065154766861.post-63720518349878016042013-02-05T00:03:00.000-08:002013-02-05T00:03:21.968-08:00จิตวิทยาสำหรับเด็ก เก(ย์)เร <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1SKQPPe9FdkDoL5GjznjNnL9FliVW0Sa6Eyw6i1Ll1nfC0eLxSbgQPNMwzoHU3iw0Jju8LAX-R0dqLuN4ll_SuhjBMNA6wVQ0dazbKgORtIiBewg55zMjQGQ-9_hHXPktxMeFxyN755I/s1600/546042-img-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ea="true" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1SKQPPe9FdkDoL5GjznjNnL9FliVW0Sa6Eyw6i1Ll1nfC0eLxSbgQPNMwzoHU3iw0Jju8LAX-R0dqLuN4ll_SuhjBMNA6wVQ0dazbKgORtIiBewg55zMjQGQ-9_hHXPktxMeFxyN755I/s320/546042-img-1.jpg" width="320" /></a></div>
<span style="color: red;">จิตวิทยาสำหรับเด็ก เก(ย์)เร </span><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
การเรียนการสอนในปัจจุบัน เป็นเรื่องยากและท้าท้ายสำหรับครูอาจารย์ในโรงเรียน ปัจจุบันนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือพฤติกรรมกรรมของคนในสังคม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางด้านการบริหารจัดการการศึกษา พฤติกรรมของเด็ก การเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอน เทคโนโลยี สภาพแวดล้อมต่างๆ ในสังคมปัจจุบัน สิ่งหนี่งที่บรรดาคุณครู พ่อแม่หนักใจ คือปัญหาเด็กเก(ย์)เร จากประสบการณ์ตรงที่เคยสอนในโรงเรียน จึงอยากที่จะแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นแนวทางให้อีกหลายๆ คนได้ศึกษา</div>
<div style="text-align: justify;">
เมื่อพูดถึง เด็กเก(ย์) เร ในความเข้าใจของผมคือ ชายรักชายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ไบ (ชายก็ได้หญิงก็ได้) เกย์( ชายรักชาย แต่ไม่อยากเป็นหญิง) และ กะเทย (ชายรักชาย แต่อยากเป็นหญิง) ส่วนคำว่า "เก(ย์) เร" จะรวมๆ ไปว่า เด็กที่มีพฤติกรรมเกเร เช่น มีพฤติกรรมก้าวราว พูดจาหยาบคาย ชอบความรุนแรง สมาธิสั้น เป็นต้นโดยจะเน้นให้เห็นถึงปัญหาพฤติกรรมของชายแท้ กับชายเทียมในเรื่องของความ เก(ย์)เร</div>
<div style="text-align: justify;">
ในความคิดส่วนตัวต้องบอกว่า ตลอดระยะเวลาของการเป็นครูมา เมื่อเห็นกะเทยเด็กผมจะนึกภาพของเด็กคนนี้ไปอีกยาวไกล แต่ส่วนใหญ่คือ สงสาร ยิ่งเป็นกะเทยเด็กสมัยก่อน รู้สึกว่า พวกเธอโดนเอาเปรียบทางด้านความคิด การแสดงออกไม่น้อยในโรงเรียน <span style="color: blue;">เกย์กระเทยส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกนั้นคือ สภาพแวดล้อม สังคม การเลี้ยงดูในครอบครัว</span> จากการสำรวจพบว่า เกย์-กะเทยส่วนใหญ่ <span style="color: magenta;">เกิดความเครียด สับสน วิตกกังวล กลัวถูกสังคมรังเกียจตั้งแต่วัยเด็ก และอาจจะมีผลต่อพัฒนาการทางความคิดและร่างกายของคนเหล่านี้ โดยปัญหาต่างๆ มักเกิดกับกะเทยในวัยเรียน เช่น ถูกเพื่อนล้อเลียน แกล้งหรือทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
ครูควรมีวิธีการจัดการปัญหานี้อย่างไร? </div>
<div style="text-align: justify;">
คำตอบคือ ไม่มีวิธีใดดีที่สุด แต่จะเน้นให้เห็นถึงความเข้าใจของ พฤติกรรมของเด็กทั้งที่เป็นเกย์ กะเทยและเด็กผู้ชายที่มีปัญหา </div>
<div style="text-align: justify;">
ถ้าหากผู้ปกครองหรือครูเข้าใจข้อความด้านบนที่ว่า "เกย์กะเทยเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนและสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของเด็ก" จะเห็นได้ว่า<span style="color: #741b47;"> เด็กตุ๊ดเกย์เหล่านั้นไม่ได้มีความผิดอะไรเลย</span> ทางการแพทย์ทั่วโลกยืนยันว่า การเป็นตุ๊ดเกย์เป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด และผมก็เชื่อว่า "ไม่มียาขนานใดรักษาความเป็นเกย์เป็นตุ๊ดได้" แค่ปกปิดหรือซ่อนเร้นไว้ภายในใจได้ จะได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเคยชินและสภาพแวดล้อมที่เด็กเติบโตมา เช่น</div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #990000;">1) บางคนเติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ยอมรับ พ่อแม่พยายามเข้าใจลูก รักลูกและให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ส่งเสริมลูกไปในทางที่ดี จากสถิติเราพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเกย์ คือ แสดงออกบ้างว่าเป็นกลุ่มรักเพศเดียวกัน หรือกะเทยเด็ก คือ แสดงอาการคล้ายหญิงตั้งแต่วัยเยาว์หรือเรียกว่า "ตุ๊ดเด็กหัวโปก" 55+ โดยเฉพาะบางรายที่แสดงอากัปกิริยาเกินเหตุ ก็เห็นมีมากในโรงเรียน คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีความเครียดน้อย มีความคิดและจินตนาการ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าชายหญิงปกติ เพลอๆ มีคนมักจะแซวเล่นๆ ว่า คนที่ไปเรียนหมอ ทันตะ หรือวิศวกร เดี๋ยวนี้มีแต่เกย์ หรือสถาบันการศึกษาดังๆ บางคณะมีแต่เกย์ที่สอบเข้าเรียนต่อได้ เด็กกลุ่มนี้เติบโตจาก พ่อแม่ โรงเรียนและครูที่ให้การยอมรับ และพัฒนาทักษะ ประสบการณ์ของเด็กโดยไม่ปิดกั้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #38761d;">2) บางคนเกิดจากครอบครัวที่เข้มงวด ดุด่า ไม่ยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มีความเครียดมาก เก็บตัว โดดเดียว และมีภาวะซึมเศร้าเยอะกว่าพวกแรก มีความคาดหวังในชีวิตสูงแต่ผสมผสานไปด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าสู้ เป็นต้น อย่างเช่นผมเคยมีเพื่อนที่พ่อเป็นนักมวย เวลาเพื่อนคนนี้อยู่บ้านจะทำตัวเป็นชาย แต่อยู่ในโรงเรียนจะเป็นหญิง (แสดงพฤติกรรมออกมามาก) เขาบอกผู้เขียนว่าอึดอัด และต้องพยายามเก็บความเป็นตัวตนเอาไว้ เพราะกลัวโดนทำโทษ หวาดกลัวและอับอายเมื่อถูกล้อเลียน </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: orange;">3) บางคนอาจจะเกิดมากึ่งๆ กลางๆ ผมหมายถึงไม่ต่อต้านแต่ไม่สนับสนุน ค่อนข้างไปทางไม่ใส่ใจ หรือทำใจ กลุ่มนี้จะปล่อยให้เด็กคิด และตัดสินใจเองตั้งแต่เด็ก ไม่สนใจดูแลเลี้ยงดู เพราะเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ยอมรับ เด็กกลุ่มนี้บางคนก็เก็บตัวเงียบ มีครอบครัวแต่รู้สึกไม่อบอุ่น ต้องการความรักจากภายนอก บางคนก็ระเบิดเถิดเทิง แสดงออกมาก </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
และมีอีกหลายกรณีโดยสรุปใหญ่ๆ เช่น พ่อแม่ไม่ยอมรับ ต้องปกปิดตัวเอง หรือเรียกว่าแอ๊บแมน ไปจนถึงแสดงออกเปิดเผย กะโหลกะลาได้ตามสบาย มีทั้งที่มีความเครียดสะสมมาก เก็บตัว เก็บกด ความต้องการสูง กลัว อับอายไปจนถึงมั่นใจ(มั่นหน้า) แสดงออก วิ๊ดว้าย แสดงตนเกินหญิง มีทั้งที่ครอบครัวยากจน (เทยเด็กอนาถา) ไปจนถึงตุ๊ดเด็กร่ำรวย พ่อแม่มีเงินมีทอง แต่ทุกคนมีเหมือนกันคือ <span style="color: #3d85c6;">รักเพศเดียวกัน ส่วนใหญ่คือชอบผู้ชายแท้ๆ แล้วอกหัก คาดหวังสูงกับความรัก เพ้อฝัน เพ้อเจอ มีโลกนวนิยายความรักเฉพาะตัวสูงมาก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ดังนี้น <span style="color: #660000;">ครูควรจัดการเกี่ยวกับความคิดของตัวครูเองเสียก่อน เป็นเพื่อนและให้คำปรึกษาสำหรับเด็กกลุ่มนี้ เข้าใจและเห็นใจ โดยเฉพาะให้คำปรึกษาเรื่องความรัก คอยปรับ คอยให้คำแนะนำในการเรียนให้เด็กกลุ่มนี้ สามารถดึงพลังในตัว หรือความสามารถ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีความสามารถพิเศษที่หลากหลายเกินหญิงทั่วไป เช่น การฟ้อนรำ หรืออะไรๆ ที่เกินหญิง เขาเหล่านี้สามารถทำได้ แต่ต้องควบคุมให้อย่าเกินงามและ ต้องปรับพฤติกรรมการรับรู้ของเพื่อนๆ ให้เห็นว่า เพศที่แตกต่างเป็นเรื่องปกติ </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ส่วนสาเหตุเด็กเกเร มีจากหลายสาเหตุ ใหญ่ๆ คือ <span style="color: #351c75;">ขาดความอบอุ่น และเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะจิตวิทยาสำหรับเด็กในช่วงมอต้น จะเข้าใจดีว่าเด็กกลุ่มนี้ มีระดับฮอร์โมนเพศที่เปลี่ยนแปลง มีอารมณ์อ่อนไหว เศร้าและสนุกได้ง่าย เริ่มมีโลกส่วนตัวสูง มีความรักและเข้ากลุ่มเพื่อน โดยคิดว่าเพื่อนสำคัญ พฤติกรรมห่างไกลจากพ่อแม่ และคิดว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ จริงๆ แล้วผู้เขียนเคยดูสารคดีเกี่ยวกับเด็กเกเร ที่หลุดออกจากระบบทางการศึกษา สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า "เขาน่าสงสารคือ เขาไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนที่เรียนดี ครู และพ่อแม่ก็มีแต่ดุด่า ไร้เหตุผล" เด็กคนนั้นร้องไห้ และเขาแค่ต้องการให้คุณครูรับรู้ว่าเขามีตัวตนในห้องเรียน เวลาเขาตอบคำถามผิดครูชอบด่า ว่า "โง่" และไม่ตั้งใจเรียน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่า เขายิ่งห่างจากห้องเรียนและคนอื่นๆ เพิ่มขึ้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ด้วยความเป็นเด็ก (วัยรุ่น) คุณครูจะต้องเข้าใจว่า<span style="color: lime;"> </span><span style="color: #0c343d;">เด็กแต่ละคนมีครอบครัว มีสังคม มีพื้นฐานทางการเรียนแตกต่างกันมากในห้องเรียนหนึ่งๆ ผสมกับวัยของเด็กที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราต้องหัดสังเกตุว่า เขาน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง 3 ด้านคือ ด้านร่างกาย (Growth) ด้านวุฒิภาวะ (Maturation) และด้านการเรียนรู้ (learning) ต่างกัน ดังนั้นการเข้าใจเด็กแต่ละคน คนเป็นครูจะต้องทำการบ้านอย่างหนัก และสร้างความเชื่อใจให้เกิดขึ้นแก่เด็ก เมื่อใดก็ตามที่เด็กเชื่อใจเรา มองว่าเราคือที่พึ่งพา เขาจะสะท้อนปัญหาต่างๆ ภายใจจิตใจของเขาออกมา แล้วเราจะแก้ไขให้ถูกจุดได้ง่าย จริงๆ แล้วคุณครูหลายคน ควรเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า "เด็กเก(ย์)ต่างหากที่คุณครูควรสนใจเขา สนใจแก้ปัญหาเด็กมีปัญหา มีปมด้อยต่างๆ มากกว่าเด็กที่มีภูมิคุ้มกันที่ดีอยู่แล้ว เพื่อให้ลูกศิษย์ของเราเติบโตไป และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างดี </span>เช่น</div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: red;">1. ไม่ว่าจะเด็กเกย์ หรือเด็กเกเร ต่างก็ต้องการความรัก ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นในตน เห็นเขามีความสำคัญไม่แพ้เด็กคนอื่นๆ ได้รับการยอมรับจากสังคมไม่ใช่การดูถูก เหยียดหยาม ทำให้บางคนต้องพบเจอภาวะหลบซ่อนพฤติกรรม ไม่กล้าแสดงออก ขาดกลัวจากจากคำดูถูกเหยียดหยามของเพื่อน ของครู พ่อแม่ ครูต้องขจัดปัญหาเหล่านี้ให้เด็กๆ ในห้องเรียนของคุณเท่าเทียมเสมอภาคกัน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #674ea7;"> 2. เป็นที่ปรึกษาที่ดี จำไว้ว่า ถ้าการดุด่าส่งผลต่อการแก้ปัญหาของเด็กควรทำ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ผล การเข้าใจเด็กและให้คำแนะนำที่ดี สร้างความเชื่อถือต่อเด็ก จะได้ผลต่อการแก้ปัญหาของเด็ก มากกว่าการลงโทษ โดยเฉพาะวิธีการที่ทำให้เด็กอาย เสื่อมเสีย ไม่ควรทำเด็ดขาด</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #4c1130;"> 3. ส่งเสริมกิจกรรมที่เด็กได้ใช้ความคิด ความสร้างสรรค์ และตามจินตนาการของเด็ก อย่าปิดกั้นแต่ให้คำแนะนำหรือแนวทางที่ดีและเป็นไปได้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
จากสิ่งที่ผู้เขียนพูดมาจะเห็นว่า การที่เด็กถูกทำให้เก็บกดตั้งแต่เด็กๆ พฤติกรรมของเด็กเหล่านี้แสดงออกให้เห็นดังนี้เช่น</div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #b45f06;"> 1. จำพวกตั้งใจเรียน บ้าเรียน ขยันทำงานไปจนโต ชดเชยความด้อยค่าที่รู้สึกเกิดมาแพ้ชายจริงหญิงแท้ ให้เห็นว่าตนเก่งกว่าดีกว่าคนเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าตนมีปมด้อย ถูกถากถางและได้รับคำอับอาย </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #274e13;"> 2. เก็บกด เก็บซ่อนความจริง ไม่กล้าเปิดเผยความจริง อายและขาดกลัว บางรายโตไปแต่งงานกับผู้หญิงและเข้าใจว่า "ตนไม่สามารถใช้ชีวิตจริงกับผู้หญิง" สร้างภาพหลอกตัวเองและผู้อื่น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #660000;">3. แสดงออกเกินกว่าเหตุ ใช้การกินและการแสดงออก ส่วนใหญ่เป็นเกย์หรือกะเทยอ้วนแล้วแสดงออกเยอะเป็นพิเศษ การแสดงออกมากๆ เป็นการชดเชยสิ่งที่ไม่มี เป็นภาวะลืมตัวหรือไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการเป็นเพศอะไร ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เราคงไม่อยากให้เด็กของเราเศร้า และทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #990000;">ปัญหาส่วนใหญ่ของเด็กเก(ย์) คือ 1.ปัญหาการได้รับการยอมรับจากเพื่อน พ่อแม่ 2.ปัญหาเรื่องความรักและเพศสัมพันธ์ (อันนี้รุนแรง) 3.ปัญหาทางด้านร่างกาย เช่น การกินยาคุมกำเนิด ใช้วิธีเสริมความงามแบบผิด 4.ปัญหาทางสังคมเช่น การปรับตัวกับผู้ใหญ่ พ่อแม่ เป็นต้น</span></div>
<br />
<br /><br />
สิ่งที่ผู้เขียนบรรยายมา อาจจะไม่ใช่ชีวิตจริงหรือประสบการณ์ที่ท่านพบเจอมาทั้งหมด มันเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่เคยประสบมา แต่ในฐานะครูก็อยากให้ทุกคนเข้าใจ และยอมรับเด็ก ๆ กลุ่มนี้ให้มากๆ เราควรจะตั้งปณิธารว่า จะฉุดดึงเด็กเกย์เร กลุ่มนี้ขึ้นมาจากความทุกข์ที่มาแต่กำเนินได้อย่างไร ให้เขาสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ใช่จำใจทำหรือเก็บกดต้องทำ ต้องฝืนความเป็นธรรมชาติของจิตใจของพวกเธอ น้อยคนจะรู้ว่า "เขาเหล่านั้นคิดอะไร เมื่อไม่มีใครเขาใจเขาจริงๆ สักคน"
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ข้อควรจำ</div>
<div style="text-align: justify;">
1.ผู้ปกครองและครูควรเข้าใจว่า เป็นเกย์ กะเทย ไม่ได้ป่วย กินยาพาราหรือยาขนานใดๆ ก็หาย ถ้าจะรักษาหรือให้พบจิตแพทย์ ควรเป็นพ่อแม่หรือครู เพราะมันรักษาไม่หาย </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
สุดท้ายนี้ที่ผมบรรยายไปอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด....มันเป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น</div>
<div style="text-align: justify;">
วชิรวิทย์ ยางไชย..</div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4921102065154766861.post-2928148941130021902013-02-03T20:48:00.000-08:002013-02-03T20:48:03.628-08:00ทิศทางทางการศึกษา...มาถูกทางแล้วหรือ?<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMCH2QGSn4KH6DUR67MkCLWfN9GHo27PlPeDwF_7b6QzfMX4VfNLZBmO3loqHfcglg95gQTYz-WtkjK8Za24wyM8iBJpbyaC0kOVdn61v0Z9Te0Gvz5ml5LjcpIBA_I22-FhyeWQmZ2n4/s1600/hmc03100254p2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"><img border="0" ea="true" height="260" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMCH2QGSn4KH6DUR67MkCLWfN9GHo27PlPeDwF_7b6QzfMX4VfNLZBmO3loqHfcglg95gQTYz-WtkjK8Za24wyM8iBJpbyaC0kOVdn61v0Z9Te0Gvz5ml5LjcpIBA_I22-FhyeWQmZ2n4/s320/hmc03100254p2.jpg" width="320" /></span></a></div>
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;">ที่มาของรูป: เว็บไซท์ ประชาชาติ</span><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในหลายๆ ปีเช่น 2552-2553 จะเห็นว่ากลุ่มแรงงานในประเทศที่ว่างงานมากที่สุดคือ กลุ่มแรงงานในระดับปริญญาตรี หลายคนสงสัยและทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การพัฒนาระบบการศึกษาของคนในชาติกำลังประสบกับปัญหาอะไรอยู่?</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> สมัยผมทำ Thesis ในระดับปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมเคยอ่านงานวิจัยของสภาพัฒน์ฯและจุฬาเล่มหนึ่ง ในความคิดเห็นส่วนตัวเห็นว่า งานวิจัยดีๆ ควรจะถูกเผยแพร่ และให้ข้อมูลแก่เด็ก ผู้ปกครอง ในช่วงที่เป็นครูมัธยมก็พยายามที่จะปรับความคิด ความเข้าใจให้แก่ลูกศิษย์ หากวันข้างหน้าเขาจะได้ไม่ลำบาก เพราะผมมีประสบการณ์ในการสอนทั้งในระดับ มัธยม อาชีวะและมหาวิทยาลัย เลยเข้าใจความแตกต่างทางความคิด ค่านิยม สังคมและความต้องการของคนเป็นอย่างดี</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> แม้ว่ารัฐบาลจะเข้าใจดีว่า <span style="color: red;">ความต้องการแรงงานในประเทศส่วนใหญ่ ไม่ใช่แรงงานที่มีคุณวุฒิสูงหรือระดับปริญญามากนัก</span> แต่เราต้องการนักปฏิบัติหรือช่างเทคนิคชั้นสูงที่สามารถตอบสนองต่อบริษัท โรงงานต่างๆ ตามความคาดหมายว่า เราจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ที่ต้องการแรงงานช่างฝีมือเหล่านี้ เพราะแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานทักษะ และมีฝีมือช่างชำนาญกว่าสายวิชาการที่เรียนกันมากในมหาวิทยาลัย อีกทั้งค่าจ้าง สวัสดิการก็ถูกกว่า เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของงานที่ควรจะเป็น รัฐบาลพยายามตั้งเป้าว่า อีกสิบปีข้างหน้า (2563) จะเปลี่ยนผู้เรียนในสายสามัญ (มัธยม) ให้มาเรียนอาชีวะ หรือคิดเป็นอัตราส่วน สายอาชีวะต่อสายสามัญ เป็น 60:40 แต่เมื่อดูแนวโน้มในปัจจุบันแล้วน่าใจหาย!!</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> ทำไมผมจึงพูดเช่นนี้ <span style="color: blue;">บัณฑิตจบใหม่ที่จบสายสังคมศาสตร์ กำลังล้นตลาดในเมืองไทย</span> แทบจะทุกมหาวิทยาลัยต้องเปิดสอนสาขาเหล่านี้ เช่น บริหาร บัญชี การตลาด รัฐประศาสนาศาสตร์ ฯปัจจุบันนี้ฮิตฮอต เปิดสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์เช่น วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ โดยไม่ดูศักยภาพและความพร้อมของอุปกรณ์และบุคลากรในสถาบันของตน ความเป็นจริงแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้บริหารในสถาบันการศึกษาเคยสำรวจจริงๆ จังๆ หรือไม่ว่า บัณฑิตที่ท่านผลิตออกมา ส่วนใหญ่ทำงานตรงกับที่เรียน หรือความรู้ที่สอนๆ กันมันใช้ได้จริงมากน้อยเพียงไร โดยเฉพาะปัจจุบันที่มหาวิทยาลัยน้อยใหญ่ต่างออกนอกระบบกันหมด การพึงพาเงินงบประมาณจากรัฐอย่างเดียว มหาวิทยาลัย/วิทยาลัย ทั้งของรัฐและเอกชน ต้องดิ้นรน หาทางรอด ด้วยการเปิดหลักสูตรเรียกเงิน ทั้งภาคปกติและภาคพิเศษ ที่สำคัญคือ จำนวนผู้เรียนที่เพิ่มสูงขึ้นสวนทางกับจำนวนครูอาจารย์ที่รับผิดชอบที่มีจำนวนไม่เพียงพอ </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> <span style="color: #cc0000;">ตอนนี้ปัญญามหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรแปลกๆ เปิดศูนย์การศึกษานอกวิทยาเขตเยอะแยะเต็มไปหมด</span><span style="color: black;"> </span>โดยเฉพาะบัณฑิตศึกษาในระดับปริญญาโทภาค ข ประเภทจ่ายครบ จบเเน่เยอะแยะเต็มไปหมด น่าสงสารคนไทย "เดี๋ยวนี้กลายเป็นปริญญานิยมไปซะหมด" ถ้าลูกหลานได้เข้ารับปริญญาบัตรจากเจ้าจากนาย ถือเป็นความภาคภูมิใจ แต่หลายคนจบมา ต้องมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านเพราะหางานทำไม่ได้ บางคนก็ได้งานทำที่ต่ำกว่าวุฒิการศึกษา หลายคนอายที่จะบอกว่า "ฉันจบปริญญาแต่ใช้วุฒิมอหกทำงาน" สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะอะไร?</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> <span style="color: #e69138;">1. คนไทยยึดติดกับปริญญาบัตร (ปริญญานิยม) แต่ไม่สนใจความถนัดและศักยภาพที่มีของตัวเอง พ่อแม่ก็คาดหวังให้ลูกได้ปริญญาสักใบ เพราะคาดหวังว่า ปริญญาคือใบเบิกทางของครอบครัวและความมั่นคง </span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> <span style="color: #38761d;">2. มหาวิทยาลัยสมัยนี้ต่างเปิดหลักสูตรล่อใจ ดึงดูดให้เด็กเข้ามาเรียนมากๆ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเกิดใหม่ (ตระกล้าใบที่สาม) ซึ่งไม่มีเป้าหมายหรือไม่สร้างเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของตนเอง ผมมองว่า มหาวิทยาลัยควรเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง นี้เปิดหลักสูตรใหม่ๆ ดึงดูดผู้เรียนแต่ไม่คำนึงถึงความพร้อมและศักยภาพทางการบริหาร การจัดการและการสอน </span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> <span style="color: #351c75;">3. ผู้เรียนสาย ปวช. ปวส. ซึ่งเป็นกำลังหลักของการพัฒนาประเทศมีจำนวนน้อยลง เพราะข้อมูลวิจัยระบุว่า บริษัท/โรงงานต่างๆ ต้องการคุณวุฒิระดับนี้มากถึงร้อยละ 50 ของจำนวนแรงงงานทั้งหมด แต่ผู้เรียนสายมัธยมศึกษาตอนต้นเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี มากกว่าเรียนสายอาชีวะศึกษา</span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> <span style="color: #4c1130;">4.สถาบันการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ต่างแข่งขันให้เด็กสอบเข้าสถาบันดังๆ ดีๆ สร้างค่านิยมผิดๆ ให้แก่ผู้เรียน แทนที่จะให้ผู้เรียนประเมินความสามารถ ค้นหาความถนัดและตรงกับศักยภาพของตัวเอง เช่น ผู้เรียนไม่สามารถเรียนสายสามัญได้ พ่อแม่/โรงเรียนก็ไม่อยากให้ลูกเรียน สายอาชีวะศึกษาเพราะมองว่าไม่มีอนาคต รายได้ต่ำกว่าคนจบปริญญาตรี ภาพลักษณ์ความรุนแรงเป็นต้น</span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> <span style="color: magenta;">5. การศึกษาในปัจจุบันเน้นเนื้อหาวิชามากกว่า การปฏิบัติ แม้กระทั้งในระดับ ปวช.ปวส เองก็มีข้อควรคำนึงว่า การศึกษาในปัจจุบัน เด็กอาชีวศึกษาเก่งปฏิบัติจริงหรือ เพราะมีข้อบ่งชี้ว่า เด็กกลุ่มนี้ยังมีทักษะทางด้านสังคม การสื่อสาร(ภาษาอังกฤษ)และฝีมือช่างต่ำและไม่สอดคล้องกับอุปกรณ์ เทคโนโลยีใหม่ๆ ของบริษัท โรงงาน ที่เปลี่ยนเเปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ระบบการสอนยังเดิมๆ หรือล้าหลังอยู่</span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> สุดท้ายนี้ผมก็หวังว่า ค่าแรงวุฒิปริญญาตรี 15,000 บาทจะไม่ทำให้บริษัท โรงงานห้างร้านต่างๆ ไม่ต้องการคนจบปริญญาตรี ไหนจะค่าจ้าง สวัสดิการ ค่าตอบแทนพิเศษ ขนาดการบริหารจัดการภาครัฐยังวุ่นวายมีปัญหาสารพัดกับโครงการเหล่านี้ คนจบปริญญาตรี คงต้องพิจารณาให้ดีว่า "เรียนเอาทักษะวิชาชีพ เอาความรู้จริงๆ สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง มีใจรักให้กับเนื้อหาวิชา ศาสตร์ที่ตัวเองเลือกเรียนหรือไม่ หรือแค่เอากระดาษไม่กี่แผ่น และเลือกเพราะตามคนอื่น เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และเพื่อน หากเป็นเช่นนั้น คงไม่อยากนึกฝันว่า วันข้างหน้าเราจะได้เห็นว่า</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> <span style="color: red;">"ปริญญาตกงานหลายแสนคน อาจจะเป็นล้านๆ คน รวมไปถึงปริญญาโท ปริญญาเอกเดินเตะฝุ่นข้างทาง เพราะคิดแต่จะได้ปริญญา แต่ไม่มีความรู้"</span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> การเลือกสถาบันการศึกษาก็มีผลกับตัวเด็กและตัวของเรา สิ่งสำคัญที่เราต้องคิดว่า "เราเรียนไปเพื่ออะไร อยากเป็นอะไร สถาบันการศึกษาเหล่านั้นตอบโจทย์ให้เราได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเมื่อเลือกเดินทางไปแล้วจะถูกหรือผิด ก็ยากที่จะย้อนมาเดินใหม่ ควรคิดให้รอบครอบในสภาวะปัจจุบันที่มหาลัยส่วนใหญ่ในประเทศไทย เป็นมหาวิทยาลัยผลิตกระดาษ ผลิตบุคคลให้ท่องจำแต่เนื้อหาวิชาในหนังสือ ออกข้อสอบยากๆ แต่แทบจะไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อะไร งานวิจัยส่วนใหญ่ก็อยู่บนหิ้ง ฝุ่นหนาเป็นกิโลๆ เพราะไม่มีใครอยากหยิบมาอ่าน องค์ความรู้ทั้งหลายมันสูงส่งเกินไป จึงเอามาประยุกต์ใช้ลำบากยิ่งนัก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> เมื่อใดก็ตามที่ผมพบเจอศิษย์เก่ามัธยม ผมมักจะถามเขาว่า "จบแล้วคุณจะไปต่อที่ไหน" ถ้าเขาบอกผมว่า เขาอยากเป็นช่างครับครู ผมจะสนับสนุนเต็มที่ เพราะทราบดีว่าลูกศิษย์แต่ละคนมีความชอบ ความพร้อมไม่เหมือนกัน เขาคงอยากเป็นช่างชำนาญการในอนาคต มากกว่าที่จะไปเป็นนกแก้วนกขุนทอง ท่องตำราหนาๆ เรียนพิเศษกันหัวมุน ในสายมัธยมและเขาคงไม่ถนัด และคงไม่ชอบใจ ก็แค่จะบอกว่า "ขอให้ตั้งใจเรียนและอย่าไปมีปัญหาล่ะ"</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> ส่วนคนที่พอจะเรียนไหว เรียนดี อยากสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ก็สนับสนุน "ขอให้เธอโชคดี และได้ปริญญาตามที่เธอตั้งใจเอาไว่ว่า อยากทำอาชีพอะไรในอนาคต แต่ขอให้ตั้งใจจริง และเชื่อว่า เธอต้องทำได้ มุ่งมั่นเอาประสบการณ์ไม่ใช่ปริญญา"</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> ไม่มีใครบอกได้ว่า อนาคตของเด็กแต่ละคนจะไปเป็นอะไร แต่ห่วงใยเหลือเกินกับการศึกษาในปัจจุบัน เด็กไทยเรียนเยอะมาก ครูมีคุณวุฒิสูงขึ้น ปริญญาโท ปริญญาเอก อาจารย์ 3 อาจารย์ 4 C8 C9 ตามแต่จะเรียกกันไป ผศ รศ ศ. ก็เยอะ แต่การศึกษาแย่ลงทุกวัน สวนทางกันจริงๆ ประเทศไทยเราเป็นอะไรไป.....ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ สงสารก็แต่เด็กๆ ที่เขาแย่เช่นนี้เพราะใคร?</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: #f3f3f3; color: black;">ความคิดเห็นส่วนตัว........ขออภัยด้วยถ้ามีข้อความใดไม่ถูกต้องนะครับ วชิรวิทย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com0