การเรียนการสอนในปัจจุบัน เป็นเรื่องยากและท้าท้ายสำหรับครูอาจารย์ในโรงเรียน ปัจจุบันนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือพฤติกรรมกรรมของคนในสังคม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางด้านการบริหารจัดการการศึกษา พฤติกรรมของเด็ก การเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอน เทคโนโลยี สภาพแวดล้อมต่างๆ ในสังคมปัจจุบัน สิ่งหนี่งที่บรรดาคุณครู พ่อแม่หนักใจ คือปัญหาเด็กเก(ย์)เร จากประสบการณ์ตรงที่เคยสอนในโรงเรียน จึงอยากที่จะแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นแนวทางให้อีกหลายๆ คนได้ศึกษา
เมื่อพูดถึง เด็กเก(ย์) เร ในความเข้าใจของผมคือ ชายรักชายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ไบ (ชายก็ได้หญิงก็ได้) เกย์( ชายรักชาย แต่ไม่อยากเป็นหญิง) และ กะเทย (ชายรักชาย แต่อยากเป็นหญิง) ส่วนคำว่า "เก(ย์) เร" จะรวมๆ ไปว่า เด็กที่มีพฤติกรรมเกเร เช่น มีพฤติกรรมก้าวราว พูดจาหยาบคาย ชอบความรุนแรง สมาธิสั้น เป็นต้นโดยจะเน้นให้เห็นถึงปัญหาพฤติกรรมของชายแท้ กับชายเทียมในเรื่องของความ เก(ย์)เร
ในความคิดส่วนตัวต้องบอกว่า ตลอดระยะเวลาของการเป็นครูมา เมื่อเห็นกะเทยเด็กผมจะนึกภาพของเด็กคนนี้ไปอีกยาวไกล แต่ส่วนใหญ่คือ สงสาร ยิ่งเป็นกะเทยเด็กสมัยก่อน รู้สึกว่า พวกเธอโดนเอาเปรียบทางด้านความคิด การแสดงออกไม่น้อยในโรงเรียน เกย์กระเทยส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกนั้นคือ สภาพแวดล้อม สังคม การเลี้ยงดูในครอบครัว จากการสำรวจพบว่า เกย์-กะเทยส่วนใหญ่ เกิดความเครียด สับสน วิตกกังวล กลัวถูกสังคมรังเกียจตั้งแต่วัยเด็ก และอาจจะมีผลต่อพัฒนาการทางความคิดและร่างกายของคนเหล่านี้ โดยปัญหาต่างๆ มักเกิดกับกะเทยในวัยเรียน เช่น ถูกเพื่อนล้อเลียน แกล้งหรือทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น
ครูควรมีวิธีการจัดการปัญหานี้อย่างไร?
คำตอบคือ ไม่มีวิธีใดดีที่สุด แต่จะเน้นให้เห็นถึงความเข้าใจของ พฤติกรรมของเด็กทั้งที่เป็นเกย์ กะเทยและเด็กผู้ชายที่มีปัญหา
ถ้าหากผู้ปกครองหรือครูเข้าใจข้อความด้านบนที่ว่า "เกย์กะเทยเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนและสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของเด็ก" จะเห็นได้ว่า เด็กตุ๊ดเกย์เหล่านั้นไม่ได้มีความผิดอะไรเลย ทางการแพทย์ทั่วโลกยืนยันว่า การเป็นตุ๊ดเกย์เป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด และผมก็เชื่อว่า "ไม่มียาขนานใดรักษาความเป็นเกย์เป็นตุ๊ดได้" แค่ปกปิดหรือซ่อนเร้นไว้ภายในใจได้ จะได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเคยชินและสภาพแวดล้อมที่เด็กเติบโตมา เช่น
1) บางคนเติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ยอมรับ พ่อแม่พยายามเข้าใจลูก รักลูกและให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ส่งเสริมลูกไปในทางที่ดี จากสถิติเราพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเกย์ คือ แสดงออกบ้างว่าเป็นกลุ่มรักเพศเดียวกัน หรือกะเทยเด็ก คือ แสดงอาการคล้ายหญิงตั้งแต่วัยเยาว์หรือเรียกว่า "ตุ๊ดเด็กหัวโปก" 55+ โดยเฉพาะบางรายที่แสดงอากัปกิริยาเกินเหตุ ก็เห็นมีมากในโรงเรียน คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีความเครียดน้อย มีความคิดและจินตนาการ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าชายหญิงปกติ เพลอๆ มีคนมักจะแซวเล่นๆ ว่า คนที่ไปเรียนหมอ ทันตะ หรือวิศวกร เดี๋ยวนี้มีแต่เกย์ หรือสถาบันการศึกษาดังๆ บางคณะมีแต่เกย์ที่สอบเข้าเรียนต่อได้ เด็กกลุ่มนี้เติบโตจาก พ่อแม่ โรงเรียนและครูที่ให้การยอมรับ และพัฒนาทักษะ ประสบการณ์ของเด็กโดยไม่ปิดกั้น
2) บางคนเกิดจากครอบครัวที่เข้มงวด ดุด่า ไม่ยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มีความเครียดมาก เก็บตัว โดดเดียว และมีภาวะซึมเศร้าเยอะกว่าพวกแรก มีความคาดหวังในชีวิตสูงแต่ผสมผสานไปด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าสู้ เป็นต้น อย่างเช่นผมเคยมีเพื่อนที่พ่อเป็นนักมวย เวลาเพื่อนคนนี้อยู่บ้านจะทำตัวเป็นชาย แต่อยู่ในโรงเรียนจะเป็นหญิง (แสดงพฤติกรรมออกมามาก) เขาบอกผู้เขียนว่าอึดอัด และต้องพยายามเก็บความเป็นตัวตนเอาไว้ เพราะกลัวโดนทำโทษ หวาดกลัวและอับอายเมื่อถูกล้อเลียน
3) บางคนอาจจะเกิดมากึ่งๆ กลางๆ ผมหมายถึงไม่ต่อต้านแต่ไม่สนับสนุน ค่อนข้างไปทางไม่ใส่ใจ หรือทำใจ กลุ่มนี้จะปล่อยให้เด็กคิด และตัดสินใจเองตั้งแต่เด็ก ไม่สนใจดูแลเลี้ยงดู เพราะเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ยอมรับ เด็กกลุ่มนี้บางคนก็เก็บตัวเงียบ มีครอบครัวแต่รู้สึกไม่อบอุ่น ต้องการความรักจากภายนอก บางคนก็ระเบิดเถิดเทิง แสดงออกมาก
และมีอีกหลายกรณีโดยสรุปใหญ่ๆ เช่น พ่อแม่ไม่ยอมรับ ต้องปกปิดตัวเอง หรือเรียกว่าแอ๊บแมน ไปจนถึงแสดงออกเปิดเผย กะโหลกะลาได้ตามสบาย มีทั้งที่มีความเครียดสะสมมาก เก็บตัว เก็บกด ความต้องการสูง กลัว อับอายไปจนถึงมั่นใจ(มั่นหน้า) แสดงออก วิ๊ดว้าย แสดงตนเกินหญิง มีทั้งที่ครอบครัวยากจน (เทยเด็กอนาถา) ไปจนถึงตุ๊ดเด็กร่ำรวย พ่อแม่มีเงินมีทอง แต่ทุกคนมีเหมือนกันคือ รักเพศเดียวกัน ส่วนใหญ่คือชอบผู้ชายแท้ๆ แล้วอกหัก คาดหวังสูงกับความรัก เพ้อฝัน เพ้อเจอ มีโลกนวนิยายความรักเฉพาะตัวสูงมาก
ดังนี้น ครูควรจัดการเกี่ยวกับความคิดของตัวครูเองเสียก่อน เป็นเพื่อนและให้คำปรึกษาสำหรับเด็กกลุ่มนี้ เข้าใจและเห็นใจ โดยเฉพาะให้คำปรึกษาเรื่องความรัก คอยปรับ คอยให้คำแนะนำในการเรียนให้เด็กกลุ่มนี้ สามารถดึงพลังในตัว หรือความสามารถ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีความสามารถพิเศษที่หลากหลายเกินหญิงทั่วไป เช่น การฟ้อนรำ หรืออะไรๆ ที่เกินหญิง เขาเหล่านี้สามารถทำได้ แต่ต้องควบคุมให้อย่าเกินงามและ ต้องปรับพฤติกรรมการรับรู้ของเพื่อนๆ ให้เห็นว่า เพศที่แตกต่างเป็นเรื่องปกติ
ส่วนสาเหตุเด็กเกเร มีจากหลายสาเหตุ ใหญ่ๆ คือ ขาดความอบอุ่น และเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะจิตวิทยาสำหรับเด็กในช่วงมอต้น จะเข้าใจดีว่าเด็กกลุ่มนี้ มีระดับฮอร์โมนเพศที่เปลี่ยนแปลง มีอารมณ์อ่อนไหว เศร้าและสนุกได้ง่าย เริ่มมีโลกส่วนตัวสูง มีความรักและเข้ากลุ่มเพื่อน โดยคิดว่าเพื่อนสำคัญ พฤติกรรมห่างไกลจากพ่อแม่ และคิดว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ จริงๆ แล้วผู้เขียนเคยดูสารคดีเกี่ยวกับเด็กเกเร ที่หลุดออกจากระบบทางการศึกษา สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า "เขาน่าสงสารคือ เขาไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนที่เรียนดี ครู และพ่อแม่ก็มีแต่ดุด่า ไร้เหตุผล" เด็กคนนั้นร้องไห้ และเขาแค่ต้องการให้คุณครูรับรู้ว่าเขามีตัวตนในห้องเรียน เวลาเขาตอบคำถามผิดครูชอบด่า ว่า "โง่" และไม่ตั้งใจเรียน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่า เขายิ่งห่างจากห้องเรียนและคนอื่นๆ เพิ่มขึ้น
ด้วยความเป็นเด็ก (วัยรุ่น) คุณครูจะต้องเข้าใจว่า เด็กแต่ละคนมีครอบครัว มีสังคม มีพื้นฐานทางการเรียนแตกต่างกันมากในห้องเรียนหนึ่งๆ ผสมกับวัยของเด็กที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราต้องหัดสังเกตุว่า เขาน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง 3 ด้านคือ ด้านร่างกาย (Growth) ด้านวุฒิภาวะ (Maturation) และด้านการเรียนรู้ (learning) ต่างกัน ดังนั้นการเข้าใจเด็กแต่ละคน คนเป็นครูจะต้องทำการบ้านอย่างหนัก และสร้างความเชื่อใจให้เกิดขึ้นแก่เด็ก เมื่อใดก็ตามที่เด็กเชื่อใจเรา มองว่าเราคือที่พึ่งพา เขาจะสะท้อนปัญหาต่างๆ ภายใจจิตใจของเขาออกมา แล้วเราจะแก้ไขให้ถูกจุดได้ง่าย จริงๆ แล้วคุณครูหลายคน ควรเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า "เด็กเก(ย์)ต่างหากที่คุณครูควรสนใจเขา สนใจแก้ปัญหาเด็กมีปัญหา มีปมด้อยต่างๆ มากกว่าเด็กที่มีภูมิคุ้มกันที่ดีอยู่แล้ว เพื่อให้ลูกศิษย์ของเราเติบโตไป และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างดี เช่น
1. ไม่ว่าจะเด็กเกย์ หรือเด็กเกเร ต่างก็ต้องการความรัก ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นในตน เห็นเขามีความสำคัญไม่แพ้เด็กคนอื่นๆ ได้รับการยอมรับจากสังคมไม่ใช่การดูถูก เหยียดหยาม ทำให้บางคนต้องพบเจอภาวะหลบซ่อนพฤติกรรม ไม่กล้าแสดงออก ขาดกลัวจากจากคำดูถูกเหยียดหยามของเพื่อน ของครู พ่อแม่ ครูต้องขจัดปัญหาเหล่านี้ให้เด็กๆ ในห้องเรียนของคุณเท่าเทียมเสมอภาคกัน
2. เป็นที่ปรึกษาที่ดี จำไว้ว่า ถ้าการดุด่าส่งผลต่อการแก้ปัญหาของเด็กควรทำ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ผล การเข้าใจเด็กและให้คำแนะนำที่ดี สร้างความเชื่อถือต่อเด็ก จะได้ผลต่อการแก้ปัญหาของเด็ก มากกว่าการลงโทษ โดยเฉพาะวิธีการที่ทำให้เด็กอาย เสื่อมเสีย ไม่ควรทำเด็ดขาด
3. ส่งเสริมกิจกรรมที่เด็กได้ใช้ความคิด ความสร้างสรรค์ และตามจินตนาการของเด็ก อย่าปิดกั้นแต่ให้คำแนะนำหรือแนวทางที่ดีและเป็นไปได้
จากสิ่งที่ผู้เขียนพูดมาจะเห็นว่า การที่เด็กถูกทำให้เก็บกดตั้งแต่เด็กๆ พฤติกรรมของเด็กเหล่านี้แสดงออกให้เห็นดังนี้เช่น
1. จำพวกตั้งใจเรียน บ้าเรียน ขยันทำงานไปจนโต ชดเชยความด้อยค่าที่รู้สึกเกิดมาแพ้ชายจริงหญิงแท้ ให้เห็นว่าตนเก่งกว่าดีกว่าคนเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าตนมีปมด้อย ถูกถากถางและได้รับคำอับอาย
2. เก็บกด เก็บซ่อนความจริง ไม่กล้าเปิดเผยความจริง อายและขาดกลัว บางรายโตไปแต่งงานกับผู้หญิงและเข้าใจว่า "ตนไม่สามารถใช้ชีวิตจริงกับผู้หญิง" สร้างภาพหลอกตัวเองและผู้อื่น
3. แสดงออกเกินกว่าเหตุ ใช้การกินและการแสดงออก ส่วนใหญ่เป็นเกย์หรือกะเทยอ้วนแล้วแสดงออกเยอะเป็นพิเศษ การแสดงออกมากๆ เป็นการชดเชยสิ่งที่ไม่มี เป็นภาวะลืมตัวหรือไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการเป็นเพศอะไร ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เราคงไม่อยากให้เด็กของเราเศร้า และทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต
ปัญหาส่วนใหญ่ของเด็กเก(ย์) คือ 1.ปัญหาการได้รับการยอมรับจากเพื่อน พ่อแม่ 2.ปัญหาเรื่องความรักและเพศสัมพันธ์ (อันนี้รุนแรง) 3.ปัญหาทางด้านร่างกาย เช่น การกินยาคุมกำเนิด ใช้วิธีเสริมความงามแบบผิด 4.ปัญหาทางสังคมเช่น การปรับตัวกับผู้ใหญ่ พ่อแม่ เป็นต้น
สิ่งที่ผู้เขียนบรรยายมา อาจจะไม่ใช่ชีวิตจริงหรือประสบการณ์ที่ท่านพบเจอมาทั้งหมด มันเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่เคยประสบมา แต่ในฐานะครูก็อยากให้ทุกคนเข้าใจ และยอมรับเด็ก ๆ กลุ่มนี้ให้มากๆ เราควรจะตั้งปณิธารว่า จะฉุดดึงเด็กเกย์เร กลุ่มนี้ขึ้นมาจากความทุกข์ที่มาแต่กำเนินได้อย่างไร ให้เขาสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ใช่จำใจทำหรือเก็บกดต้องทำ ต้องฝืนความเป็นธรรมชาติของจิตใจของพวกเธอ น้อยคนจะรู้ว่า "เขาเหล่านั้นคิดอะไร เมื่อไม่มีใครเขาใจเขาจริงๆ สักคน"
ข้อควรจำ
1.ผู้ปกครองและครูควรเข้าใจว่า เป็นเกย์ กะเทย ไม่ได้ป่วย กินยาพาราหรือยาขนานใดๆ ก็หาย ถ้าจะรักษาหรือให้พบจิตแพทย์ ควรเป็นพ่อแม่หรือครู เพราะมันรักษาไม่หาย
สุดท้ายนี้ที่ผมบรรยายไปอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด....มันเป็นแค่เพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น
วชิรวิทย์ ยางไชย..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น